ระหว่างโปรตุเกสและบราซิล ของ จักรพรรดิเปดรูที่ 1 แห่งบราซิล

วิกฤตการณ์ที่ไม่มีสิ้นสุด

พระบรมสาทิสลักษณ์จักรพรรดิเปดรูที่ 1 ขณะมีพระชนมายุ 32 พรรษา ในปีพ.ศ. 2373

ตั้งแต่สมัยของสภาร่างรัฐธรรมนูญในปีพ.ศ. 2366 และด้วยอำนาจที่มีขึ้นมาใหม่ในปีพ.ศ. 2369 ด้วยการเปิดประชุมสมัชชา (รัฐสภาบราซิล) มีการต่อสู้ทางอุดมการณ์มากกว่าสมดุลของอำนาจที่ถูกใช้โดยองค์จักรพรรดิและสภานิติบัญญัติในการปกครอง ในด้านหนึ่งร่วมในมุมมองของจักรพรรดิเปดรูที่ 1 นักการเมืองที่เชื่อว่าพระมหากษัตริย์ควรมีอิสระในการการเลือกกำหนดรัฐมนตรี, นโยบายระดับชาติและทิศทางของรัฐบาล ฝ่ายตรงข้ามซึ่งเป็นที่รู้จักในพรรคเสรีนิยม ซึ่งเชื่อว่ารัฐบาลควรจะมีอำนาจในการกำหนดแนวทางของรัฐบาลและควรประกอบด้วยผู้แทนมาจากพรรคเสียงข้างมากที่รับผิดชอบต่อสภา[160] การพูดกันอย่างเคร่งครัดของทั้งสองพรรคที่สนับสนุนรัฐบาลของจักรพรรดิเปดรูที่ 1 และพรรคเสรีนิยมที่สนับสนุนลัทธิเสรีนิยมและระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ[161]

โดยไม่คำนึงถึงความล้มเหลวในฐานะผู้ปกครองของจักรพรรดิเปดรูที่ 1 พระองค์ทรงเคารพรัฐธรรมนูญ พระองค์ไม่ทรงยุ่งเกี่ยวกับการเลือกตั้งหรือการยอมให้มีการโยงการเลือก[162] ทรงปฏิเสธที่จะลงนามร่วมในการกระทำที่ยอมรับโดยรัฐบาล[163] หรือทรงปฏิเสธที่จะกำหนดข้อจำกัดใดๆบนเสรีภาพในการพูด[164][165] แม้ว่าภายในพระราชอำนาจของพระองค์ พระองค์ไม่ทรงประกาศยุบสภาและเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งใหม่เมื่อไม่ทรงเห็นด้วยกับจุดมุ่งหมายของพระองค์หรือการเลื่อนเวลาการนั่งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติ[166] หนังสืพิมพ์เสรีนิยมและจุลสารที่ยึดเอาชาติกำเนิดโปรตุเกสของจักรพรรดืเปดรูที่ 1 มาสนับสนุนข้อกล่าวหาที่ถูกต้องของทั้งสอง (เช่นที่มากของความกระตือรือร้นของพระองค์ก็พุ่งตรงไปยังกิจการที่เกี่ยวข้องกับโปรตุเกส) [167] และข้อกล่าวหาเท็จ (เช่นว่าพระองค์มีส่วนเกี่ยวข้องกับแผนการที่จะยับยั้งรัฐธรรมนูญและรวมบราซิลเข้ากับโปรตุเกสอีกครั้ง) [168] นักเสรีนิยมซึ่งเป็นพระสหายชาวโปรตุเกสขององค์จักรพรรดซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในราชสำนัก รวมทั้ง ฟรานซิสโก โกเมซ ดา ซิลวา ซึ่งมีนามเล่นๆว่า "ตัวตลก" เป็นส่วนหนึ่งของแผนการเหล่านี้และจัดตั้ง "รัฐบาลเงา"[169][170] ไม่มีบุคคลเหล่านี้แสดงความสนใจในปัญหาดังกล่าวและสนใจในเรื่องใดๆก็ตามที่พวกเขาอาจจะใช้ร่วมกัน ไม่มีการซ่องสุมวางแผนในพระราชวังที่จะล้มล้างรัฐธรรมนูญหรือนำบราซิลกลับเข้าในภายใต้การควบคุมของโปรตุเกส[171]

ที่มาของการวิจารณ์โดยนักเสรีนิยมเกี่ยวข้องกับมุมมองของผู้เห็นด้วยกับการเลิกทาสของจักรพรรดิเปดรูที่ 1[172] องค์จักรพรรดิมีพระราชดำริอย่างจิงจังในกระบวนการที่ค่อยๆขจัดความเป็นทาส อย่างไรก็ตามอำนาจตามรัฐธรรมนญที่ตราไว้อยู่ในมือของรัฐสภาซึ่งถูกควบคุมโดยเจ้าของทาสและศักดินาได้พยายามขัดขวางการพยายามเลิกทาส[173][174] องค์จักรพรรดิทรงเลือกที่จะพยายามชักชวนแบบอย่างของศีลธรรม โดยทรงตั้งที่ดินของพระองค์ในซันตาครูซเป็นแบบจำลองโดยอนุญาตให้ที่ดินนี้ปลดปล่อยการเป็นทาส[175][176] จักรพรรดิเปดรูที่ 1 มีพระราชดำริขั้นก้าวหน้าอื่นๆอีก เมื่อองค์จักรพรรดิทรงประกาศความตั้งพระทัยของพระองค์ที่ยังคงอยู่ในบราซิลวันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2365 และประชาชนพยายามมองพระองค์เพื่อถวายพระเกียรติด้วยทำการปลดม้าออกและลากรถม้าของพระองค์ด้วยตัวพวกเขาเอง องค์จักรพรรดิทรงปฏิเสธ พระองค์ทรงตอบว่ามันเป็นการประณามพระองค์พร้อมกันในที่สาธารณะถึงเทวสิทธิราชย์ของเลือดพิเศษในสังคมชั้นสูงและของชนชาติ "มันเจ็บปวดให้ข้าพเจ้าไปพบเห็นเพื่อนมนุษย์ของข้าพเจ้าไปเป็นบรรณาการแด่คนที่เหมาะสมสำหรับเทวสิทธิ์ ข้าพเจ้ารู้ว่าโลหิตของข้าพเจ้าเป็นสีเดียวกับโลหิตของพวกนิโกร"[177][178]

สละราชบัลลังก์

จักรพรรดิเปดรูที่ 1 ทรงส่งมอบพระราชโองการสละราชบัลลังก์ในวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2374

หลังจากการเนรเทศโดมิทิลาออกจากราชสำนัก จักรพรรดิทรงให้สัตย์สาบานที่จะเปลี่ยนแปลงพระองค์เองเพื่อพิสูจน์ความจริงใจ พระมเหสีพระองค์ที่สองของจักรพรรดิเปดรูที่ 1 คือ พระนางอเมลีมีพระทัยดีและรักพระโอรสธิดาของพระองค์และทรงให้ความรู้สึกที่จำเป็นมากในสภาวะปกติแก่ทั้งพระราชวง์ของพระองค์และสาธารณะ[179] อย่างไม่เคยมีมาก่อนพระองค์ไม่ทรงมีเรื่องอื้อฉาวและทรงซื่อสัตย์ต่อพระมเหสี[180] ด้วยความพยายามที่จะลดความรุนแรงและข้ามเหนือการประพฤติผิดเมื่อครั้งอดีต พระองค์ทรงยุติความขัดแย้งกับโจเซ โบนาเฟชิโอ อดีตรัฐมนตรีและที่ปรึกษาของพระองค์

ความพยายามขององค์จักรพรรดิที่ทรงเอาพระทัยในพรรคเสรีนิยมส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญมาก พระองค์ทรงสนับสนุนกฎหมายปีพ.ศ. 2370 ที่ซึ่งจัดตั้งด้วยความรับผิดเฉพาะตัวของรัฐมนตรี[181] ในวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2374 พระองค์ทรงกำหนดรัฐมนตรีที่จัดตั้งขึ้นโดยนักการเมืองที่ดึงมาจากฝ่ายค้าน[182] ด้วยการยอมรับในบทบาททางรัฐสภาของรัฐบาล ท้ายสุดพระองค์เสนอตำแหน่งในยุโรปให้ฟรานซิสโก โกเมซและพระสหายที่เกิดในโปรตุเกสเพื่อขจัดข่าวลือของ "รัฐบาลเงา"[179][183]

ด้วยความผิดหวังของพระองค์ มาตรการผ่อนคลายของพระองค์ไม่สามารถหยุดการโจมตีอย่างต่อเนื่องจากทางด้านเสรีนิยมต่อรัฐบาลของพระองค์และชาติกำเนิดต่างประเทศของพระองค์ ทรงผิดหวังในการดื้อแพ่งของพวกเขา กลายเป็นพระองค์ไม่เต็มพระทัยที่จะจัดการสถานการณ์ทางการเมืองของพระองค์ที่ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น[179] ในขณะเดียวกัน ชาวโปรตุเกสได้ขับไล่การรณรงค์ที่โน้มน้าวให้พระองค์ละทิ้งบราซิลและแทนที่จะอุทิศกำลังกายของพระองค์ในการต่อสู้เพื่อสิทธิในราชบัลลังก์โปรตุเกสของพระราชธิดา[184] ตามที่โรเดอริค เจ. บาร์แมนเขียนว่า "[ใน]กรณีฉุกเฉินความสามารถขององค์จักรพรรดิส่องมา พระองค์กลายเป็นผู้ที่ดีเยี่ยมในความกล้า ทรงมีไหวพริบและมีความมั่นคงในการดำเนินการ พระชนม์ชีพในฐานะพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ เต็มไปด้วยความน่าเบื่อ, การตักเตือนและการไกล่เกลี่ย เป็นลักษณะที่ต่อต้านกับแก่นพระบุคลิกภาพของพระองค์"[185] ในทางกลับกัน นักประวัติศาสตร์ได้บันทึกว่า พระองค์"ทรงค้นพบตัวตนทุกอย่างในกรณีของพระราชธิดาของพระองค์ที่ดึงดูดบุคลิกลักษณะของพระองค์มากที่สุด โดยการเสด็จไปที่โปรตุเกสพระองค์จะทำการปกป้องผู้ถูกกดขี่ ทรงแสดงความกล้าหาญและปฏิเสธความต้องการของพระองค์เอง ทรงรักษารัฐธรรมนูญและเพลิดเพลินกับการกระทำอย่างเสรีภาพที่พระองค์ทรงโหยหา"[184]

พระราชดำริที่จะสละราชบัลลังก์และเสด็จกลับโปรตุเกสได้ฝังรากลึกในจิตใจของพระองค์ และเริ่มต้นในต้นปีพ.ศ. 2372 พระองค์มีพระราชดำรัสเกี่ยวกับเรื่องนี้บ่อย[186] โอกาสที่จะได้กระทำตามดำริได้ปรากฏออกมาเร็วๆนี้ นักปฏิกิริยาภายในพรรคเสรีนิยมได้ออกมาชุมนุมไปตามถนนเพื่อก่อกวนชุมชนโปรตุเกสในรีโอเดจาเนโร ในวันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2374 มันได้กลายเป็นที่รู้จักในชื่อ "noite das garrafadas" (คืนแห่งขวดแตก) ชาวโปรตุเกสทำการตอบโต้และก่อความวุ่นวายไม่หยุดตามถนนในเมืองหลวงของประเทศ[187][188] ในวันที่ 5 เมษายน จักรพรรดิเปดรูที่ 1 ทรงขับไล่รัฐบาลเสรีนิยม ที่อยู่ในอำนาจมาตั้งแต่วันที่ 19 มีนาคม สำหรับการขาดความสามารถในการฟื้นฟูกฎหมาย[182][189] ฝูงชนจำนวนมาก ที่ได้ถูกยั่วยุโดยนักปฏิกิริยา ได้รวมตัวกันในใจกลางเมืองรีโอเดจาเนโรในตอนบ่ายของวันที่ 6 เมษายน เพื่อเรียกร้องให้ฟื้นฟูรัฐบาลที่โดนล้มไปทันที[190] องค์จักรพรรดิมีพระราชดำรัสตอบว่า "ข้าพเจ้าจะทำทุกสิ่งเพื่อประชาชนและไม่มีอะไร[ถูกบังคับ]โดยประชาชน"[191] บางครั้งหลังจากพลบค่ำ, กองทัพรวมทั้งราชองครักษ์ของพระองค์ได้ทอดทิ้งพระองค์และเข้าร่วมการประท้วง พระองค์ไม่เพียงตระหนักถึงความโดดเดี่ยวและกลายเป็นต้องทรงแยกจากกิจการของชาวบราซิล และทุกคนก็ประหลาดใจ พระองค์ทรงสละราชบัลลังก์เมื่อเวลาประมาณ 3 นาฬิกา ของวันที่ 7 เมษายน[192] ทรงส่งมอบพระราชโองการสละราชบัลลงก์แก่คนส่งสาร พระองค์ตรัสว่า "นี่ท่านมีการสละราชบัลลังก์ของฉัน ฉันจะกลับยุโรปและไปจากประเทศที่ฉันรักมากและยังคงรักตลอดไป"[193][194]